24 | Japan 1st time #3

อยู่ๆ ก็คิดถึงญี่ปุ่น 
จริงๆ ก็คิดถึงอยู่เรื่อยๆ
แต่ตอนนี้โหยหาการเดินทางมาก
รื้อเอาบันทึกที่เขียนไว้ตอนนั้นมาดูยิ่งคิดถึง 
บล็อกไว้ดูหน่อยคงดี :)

DAY6 Tōkyō                     


Alone in Tokyo, start!
วันนี้เราซื้อ one day pass เที่ยวตามที่เค้าว่าเจ๋ง
ที่แรกเราไปเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนที่ Sensō-ji บางคนเรียก วัด Asakusa
เป็นวัดและศาลเจ้าที่อยู่ห่างจากที่พักไปห้านาทีเดิน
เลยเป็นจุดหมายแรกของการ อโลนอินโตเกียวของข้าพเจ้า

ไงล่ะ เข้าวัด
นิมิตรหมายอันดี ล้ำลึกล่ะสิ 

วัดนี้มีแลนด์มาร์คหลักคือโคมกระดาษสูงห้าเมตรครึ่ง
แน่นอนว่าเหล่าทัวริสซึมต่างกระเหี้ยนกระหือรืออยากเก็บแลนด์มาร์คนี้กันทุกคน

ข้าพเจ้าก็เช่นกัน
นกที่ตื่นเช้ากว่าจับหนอนได้ก่อนฉันใด
คนตื่นเช้าก็ได้เปรียบในโลเคชั่นฉันนั้น

ข้าพเจ้าจึงมาที่นี่เป็นอันดับแรก และพบว่า
มีนกที่ตื่นก่อนข้าพเจ้า และยั้วเยี้ยประหนึ่งหนอนที่หน้าโคมแดงอันนั้นแล้วว่ะ โอเคจบปิ๊ง

สิ่งที่ชอบอย่างนึงของการเดินดูวัด หรือสถานที่ที่มีน้ำคือ
การยืนดูปลาคาร์ป
ปลาคาร์ปญี่ปุ่นตัวโตมาก ละดูมันทำหน้าสิ 5555 



เป้าหมายต่อไป Tsukiji fish market
ถึงแม้ว่าเดินขึ้นจากสถานีปุ๊บ ก็ได้กลิ่นปลาทะเลปั๊บ
แต่ตลาด tsukiji ไม่ได้มีดีแค่ตลาดปลาที่เค้ามาดูประมูลปลากัน

ตลาดของกินสิ เป้าหมายเรา 5555



มีคนบอกว่า
เหยแก ทามาโกะยากิที่สึคิจิเป็นอะไรที่ควรค่าแก่การไปลองเว้ยย
ด้วยความเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เราจึงไปลอง

และพบว่า
อร่อย!!
อร่อยมาก ลืมไข่ม้วนหวานๆ ในหัวไปได้เลย
มันหอม มันนุ่ม มันละมุน เค็มนิดหวานหน่อยกลมกล่อมมาก
กินตอนเพิ่งลงจากเตาใหม่ๆ อากาศเย็นๆ โคตรฟินข่ะคุณผู้ชม

ส่วนด้านขวาเป็น Strawberry Difuku
อร่อยมาก อร่อยมากกก อร่อยมากกกกก
อร่อยห้ากะโหลก อร่อยจนต้องเบิ้ลลล

สตรอเบอรี่ลูกโตชุ่มฉ่ำ แป้งเหนียวนุ่ม เข้ากับไส้ถั่วแดงแบบเป๊ะเว่อร์
อร่อยน้ำตาไหล
ถ้าสตรอเบอรี่ไม่ใช่ของที่เน่าเสียได้นี่จะซื้อกลับเมืองไทยมาซักสองสามโหล



ถึงแม้จะไม่ใช่สาวกปลาดิบ
แต่การมาลองปลาดิบในแดนปลาดิบเป็นอะไรที่เหมาะควรยิ่งในความคิดข้าพเจ้า
และยิ่งลงทุนเดินทางมาถึงตลาดของสดอย่าง tsukiji แล้ว ไม่ลองของสดที่นี่ก็ไม่รู้จะไปลองที่ไหน

สำหรับมนุษย์ชิล การต่อคิวรอกินอาหารเป็นชั่วโมงเป็นเรื่องรับไม่ได้
ข้าพเจ้าจึงเดินหาร้านแถวนั้นที่ดูคนญี่ปุ่นเดินเข้าเยอะสุดแทน และสั่งข้าวหน้าปลาดิบรวมมาหนึ่งชาม

หลังจากพิสูจน์ทฤษฎี ของสดต้องกินถึงถิ่นถึงจะอร่อย
ข้าพเจ้าก็พบว่า
.
ตูไม่อร่อยด้วยว่ะ 55555
.
คือมันไม่คาวนะ แต่ไม่ชอบรสสัมผัสที่มันดิบๆ กินแบบไม่คิดอะไรก็ยังรู้สึก
สรุปว่าฉันไม่ใช่สาวกปลาดิบจริงแท้แน่นอน
บัยจ้า~


มาถึงโตเกียวจะไม่มีรูปโตเกียวทาวเวอร์ก็กระไรอยู่
ตอนแรกที่อยากไปที่นี่เพราะอยากถ่ายรูปโตเกียวทาวเวอร์น่ะแหละ เลยจะหาฉากหน้าที่มันสวยๆ
ค้นไปค้นมาเจอวัดนี้ ที่อยู่ห่างจากโตเกียวทาวเวอร์แค่ไม่กี่นาที
ตอนค้นรูปก็รู้สึกว่าแม่งไม่เห็นจะเข้ากันตรงไหนเลอ เลยอยากไปดูของจริง

และพบว่า มันก็ดูน่าสนใจตรงที่มันไม่เข้ากันเนี่ยแหละ 555
ส่วนมากคนแวะมาที่นี่เพื่อเป็นทางผ่านไปโตเกียวทาวเวอร์ แต่ตอนนั้นนึกไงไม่รู้ รู้สึกก็ไม่ได้อยากขึ้นทาวเวอร์ ละก็ไม่อยากได้รูปโครงสร้างใต้ตึก
เลยไม่ได้เดินไปต่อ มานึกดูก็น่าเสียดายเหมือนกัน น่าจะเดินต่อไปอีกนิด

คราวหน้าคงจะเดินไป
ไม่ใช่อะไรหรอก จะได้หายคาใจเฉยๆ 555


ในวัดญี่ปุ่นขนาดใหญ่ๆ มักจะมีรูปปั้นเหมือนเณรองค์เล็กๆ ตั้งเรียงกันอยู่ แต่จากที่เจอทั้งหมด ที่นี่ดูจะจำนวนมากที่สุด และดูมีสีสันมากที่สุด

Unborn Children Garden
รูปปั้นหินพวกนี้เป็นตัวแทนของเด็กๆ ที่ไม่ได้เกิดมาดูโลก
ทั้งเด็กตายคลอด และเด็กที่เสียชีวิตจากการแท้ง
เครื่องประดับของเล่น ก็มาจากพ่อแม่ที่เอามาตกแต่งให้ตัวแทนลูกของตัวเอง

มันสวย มันเศร้าก็จริง
แต่การรู้จักความหมายของแต่ละสถานที่ เป็นเรื่องที่ดีนะ
อย่างน้อยก็รู้ว่าควรแสดงความเคารพกับสถานที่นั้นยังไงบ้าง


ศาลเจ้าเมจิ
เดินเข้ามาที่นี่แล้วเข้าใจเลยว่า

โลกมันกว้างใหญ่
เรามันแค่ใคร


หมายความว่ายังไง
คุณปู่ต้นไม้ คุณย่าต้นไม้เป็นแสนๆต้น 

ไม่น่าเชื่อว่า นี่เราอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว



สิ่งที่ชอบอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นคือ 
ทุกคนดูตั้งอกตั้งใจกับอาชีพของตัวเองมาก 
ทุกอาชีพมียูนิฟอร์ม และทุกคนดูภาคภูมิใจในยูนิฟอร์มของตัวเอง
เท่มากเลยนะ การภาคภูมิใจในอาชีพของตัวเองเนี่ย

ดูดิ ขนาดคนกวาดใบไม้ยังเท่เลย 


เห็นเค้าทำงานกันแล้วรู้สึกว่าทุกอาชีพสามารถเป็นอาชีพในฝันให้เด็กๆดูได้หมดเลย
แล้วมันหลากหลายมาก คิดๆอยู่ว่าถ้าเกิดแล้วโตที่นู่นเราอาจไม่ได้ทำงานอย่างทุกวันนี้ก็ได้ 555


แค่เดินพ้นออกมาจากเขตศาลเจ้า ก็เหมือนหลุดออกมาอีกโลกนึงเลย
ชอบสถานีฮาราจูกุ เหมือนหลุดออกมากจากการ์ตูนจิบลิเลย น่ารัก <3


จากฮาราจูกุ (ที่จริงต้องบอกว่าจากสถานี Yoyogi)
เดินเรื่อยมาจนถึง shibuya มาตามหาห้าแยกในตำนาน

เอาจริงคืองงมาก นับทุกแยกว่านี่ตกลงใช่แล้วยังวะ 
เช็คตำแหน่งตัวเองใน google map ตลอด 
ซึ่ง -- ถึงแม้จะมาถึงห้าแยกของจริงแล้ว ตูก็ยังนับไม่ได้ห้าอยู่ดี 5555

มาแน่ใจเอาตรงลองสุ่มเดินวนแยกดู แล้วเจอเจ้านี่
ฮาจิโกะต้องอยู่ตรงไหนซักที่แถวนี้แน่ๆ 

ในที่สุดเราก็เจอ Hachikō จริงๆ
ต้องใช้ความพยามในระดับนึงเลยทีเดียวที่จะถ่ายไม่ให้ติดคน 
คนมาถ่ายรูปกะฮาจิโกะไม่มากเท่าไหร่
แต่คนมาสูบบุหรี่นี่สิ

ฮาจิโกะตั้งอยู่ข้างๆกับ smoking area
ตอนนี้นึกออกละ ว่าอะไรในญี่ปุ่นที่ไม่ชอบ

ปกติตอนอยู่ไทย รู้สึกมีอิสระเสรีเต็มที่ที่จะทำหน้ารังเกียจใส่คนสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
แต่ถ้ามาทำแบบนั้นที่ญี่ปุ่น คงจะเมื่อยหน้าซะก่อน
คนญี่ปุ่นสูบบุหรี่เยอะมาก ทั้งผู้หญิงผู้ชาย หนุ่มสาวคนแก่ ไม่รู้ทำไม



ที่ตึกศาลาว่าการชั้น 45 เปิดเป็น observation deck ให้ขึ้นไปดูวิวฟรีๆ
แน่สิ ทัวริสซึมที่ดีอย่างเราก็ไม่พลาด
twilight ที่นี่จัดว่าเด็ด ถ้าอากาศดีๆ เห็นไปถึงฟูจิซัง
แต่เมื่อมาไม่ทันก็ night light ไปละกัน

ไม่รู้ที่นี่ใช้ขาตั้งกล้องได้รึเปล่า แต่ก็ไม่ได้พกมา
สรุปว่าที่ตูแบกขาตั้งกล้องมาจากเมืองไทยน่ะ ไม่ได้ใช้เลยยย ฮ่วย!



ป.ล. ใครจะมาที่นี่ให้นั่งสับเวย์มาลงสถานี Tochomae อย่าลง shinjuku เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าลงสถานีแล้วจะมีทางเดินอย่างดีพร้อมป้ายบอกเป็นระยะว่าเธอว์เดินลอดเมืองมาถึงนี่แล้วนะแจ๊ะ

คุณอย่ามาหลอกดาว ขาไปดาวเดินเป็นกิโล แถมช่วงใกล้ถึงตึกยังเปลี่ยวอีก
ขากลับเดินสองก้าวถึงสถานี ฮ่วย

ป.ล.2 ที่นี่มีสองตึก ตึกเหนือเปิดถึงห้าทุ่ม ตึกใต้เปิดแค่ห้าโมงเย็นล่ะเธอ

DAY7 Tōkyō                     


ที่จริงแพลนวันนี้คือไป Ghibli museum ถ้าจองตั๋วได้
แต่ในเมื่อเต็มทุกวัน เต็มทุกรอบ 
ก็เลยกลายเป็นโตเกียวตามใจฉัน
เรียกง่ายๆ โตเกียวอันแพลน 555

อย่างของวันนี้ก็แพลนเมื่อคืน
หาข้อมูลเอาวันต่อวันคร่าวๆ อยากไปไหนก็ไป
อยากอยู่ที่ไหนนานก็อยู่ อยากแว้บไปไหนก็แว้บ

เมื่อคืนอ่านหนังสือที่ยืมพี่มา
เจอจุดถ่ายมุมโตเกียวสกายทรีสวยๆหลายมุม 
ไม่ไกลจากที่พัก เดินได้ชิวๆ ก็เลยว่าจะไป
เลือกเดินมาทางสวน sumida ที่เมื่อสามสี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้เป็นซากุระ full bloom 
เต็มสองฝั่งแม่น้ำ แต่ตอนนี้เป็นซากุระที่ผลิใบอ่อนสีเขียวสด 
แบบนี้ก็สวยไปอีกแบบนะ :)



สกายทรี ระหว่างทาง :)



เดินวนหาถนนเส้นที่สกายทรีตั้งอยู่บนถนนพอดีเป๊ะ จนได้รูปนี้มา
และรูปนี้แหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องที่ประทับใจที่สุดในทริป



เรื่องดีๆ บางทีก็มาแบบไม่ได้คาดคิด 

กดมุมสกายทรีซักพัก ก็มายืนเปิดแผนที่กะว่าจะไป odaiba ต่อ
มีคุณตาคนนึงเดินมาหา ยิ้ม แล้วรัวภาษาญี่ปุ่นใส่รัวๆ
ในขณะที่ตูทำได้เพียงพยักหน้า ทำหน้าขอบคุณ 
แล้วบอกว่า I'm not understand. 
พร้อมยิ้มสยามให้คุณตาหนึ่งที

คุณตาทำหน้ายุ่งยากใจ แล้วถามว่า China? 
B : No. I'm Thai.
คุณตา : Taiwan?
B : No. I'm Thai. From Thailand.
คุณตา : ... #!$^%#$&\^#@& Sky tree!
จับใจความได้คำเดียวว่าสกายทรี คุณตายิ้มนิปปงๆ แล้วกวักมือ 
ข้าพเจ้าแปลความหมายง่ายๆได้ว่า ตามมาสิอีหนู 
ด้วยความใจง่าย จึงตามไป... 555

คุณตาหายเข้าไปในบ้านหลังนึง สักพักก็ออกมาพร้อมกับรูปข้างบนสองรูป
เราคุยกันด้วยภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ถึงหนทางจะได้ไปถ่ายรูปในมุมแบบนี้บ้าง

คุณตายิ้มนิปปงอีกครั้ง
สอดรูปใส่ซองกระดาษยื่นมาให้

แล้วเดินโบกมือจากไปแบบเท่ๆ...

ข้าพเจ้าได้แต่อะริกาโตะโกไซมัสซ้ำๆ 
และโค้งให้พร้อมเมมภาพคุณตาใส่ไว้ในความทรงจำจนลับตา

เป็นภาพที่เท่ชะมัด 🎑

 

นั่งรถไฟมาโอไดบะ เค้าว่าให้นั่งหัวขบวน
รถไฟสายนี้ไม่มีคนขับ มีคนบอกว่าตอนนั่งข้ามทะเลมันเจ๋งมาก
เอาเข้าจริง เหมือนนั่งบีทีเอส ข้ามเจ้าพระยา 5555

พักเที่ยงที่โอไดบะ 
เหล่าซาลารีมังออกมานั่งกินข้าวชมวิวสะพานสายรุ้ง
นึกภาพว่ามาทำแบบนี้ที่เมืองไทย

เอ่อ...
ผิดตั้งแต่คิดละ ขอโทษ

 

ที่ Aqua city จำไม่ได้ละว่าชั้นไหน มีเปิดเป็น pet shop 
มีคนจูงหมาจูงแมวมาเลือกซื้อของเต็มเลย 
ชอบมาก นั่งยิงหมา 555

ที่จริงมาเดิน odaiba ชอบที่สุดอยู่ที่ Decks ชั้นสี่
เปิดเป็น theme park ย้อนยุคไปสมัยปีโชวะที่ 30 ช่วงฟื้นฟูประเทศยุคหลังสงคราม 
มีออกร้านเหมือนงานวัด พวกร้านเล่นเกม ของที่ระลึก เสียไปกะที่นี่หลายเยนอยู่ 
เอาจริงแค่เดินดูก็สนุกแล้วล่ะ

Odaiba มีตั๋ว one day pass นะ ราคา 800Y 
ลำพังซื้อเฉพาะตั๋วไปกลับ shimbashi-odaiba ก็ 640Y แล้ว เพิ่มอีกนิดนั่งรถไฟ
ถ้ามากับครอบครัว มีเด็ก คนแก่ หรือขี้เกียจเดินก็คุ้มอยู่ แต่โอไดบะเล็กนิดเดียวจริงๆ
เดินเก่งๆแป๊บเดียวก็ทั่ว บางทีเดินหาสถานีจะไกลกว่าป่าวก็ไม่รู้ เราเดินเอา 555


แล้วฝนก็ตก...
และตกตั้งแต่สี่โมงยันค่ำมืดดึกดื่น

จบกันมุมที่ไปเล็งทไวไลท์ไว้ตั้งแต่เที่ยง
สุดท้ายตัดสินใจฝ่าฝนกลับสถานี ฝนมาซาเอาตอนกำลังจะถึงสถานี เลยได้วิ่งลงหาดไปกดรูปนี้เร็วๆมาสามสี่ช็อตก่อนจะกลับ ก็โอเค night light 555

ขากลับหิ้วเหล้าบ๊วยกะว่ามานั่งกึ่มริมแม่น้ำสุมิดะ ดูเรือ ดูแสงไฟ
.
ฝนตกอีกรอบ
.
เออ จบๆ นอนก็ได้ฟะ

DAY8 Tōkyō                     


เมื่อคืนคุยกับรูมเมทเตียงตรงข้ามที่มาโตเกียวเพื่อจะต่อไปบาหลีหรือฮาวายซักอย่าง
เลยได้คุยกันเรื่อยเปื่อยไปจนถึงการ์ตูนญี่ปุ่น
เมทถาม ชอบมังงะ ไปเดินฮาราจูกุรึยัง ตอบไปว่า เมื่อวาน
แล้วอากิฮาบาระล่ะ เลยตอบว่า maybe tomorrow 555

แพลนวันนี้ก่อนกลับก็เลยเป็น Ueno ถ้ามีเวลาเหลือก็จะ Akihabara ซักนิด

เก็บข้าวของเช็คเอาท์แล้ว 
รู้สึกว่ายังไม่ได้เดินเล่นแถวซอยบ้านตัวเองเลย เดินดูซักหน่อย เจอคุณเหมียวเจ้าถิ่น
หน้าตาโคตรมาเฟีย

แล้วก็ไปเดิน Ameyoko
วันนี้อากาศดีโคตร ดีมาก ดีจนน่าหมั่นไส้ ทีเมื่อวานฝนตกอะไรหยุมหยิมยาวนานขนาดนั้น

อากาศดีๆ จะมีอะไรดีไปกว่าเดินตลาดกะเมลอนเย็นๆ ซักชิ้น
เดินเพลินๆ หมดเวลากะที่นี่ไปครึ่งวันแบบไม่รู้ตัว 

Ueno park เป็นสวนสาธารณะอีกที่ที่เดินเข้ามาแล้วรู้สึกรักเลย
มันดูเป็นมิตร น่าเดิน เหมือนต้นไม้แต่ละต้นกวักมือเรียกแล้วบอก 
มาสิ จะรีบเดินไปไหน ใช้ชีวิตช้าๆบ้างก็ได้


เดินลอดผ่านอุโมงค์ซากุระที่ผลัดดอกทิ้งหมด กลายเป็นใบสีเขียวแล้วรู้สึกเลยว่า 
เธอไม่ต้องมีดอกตลอดทั้งปีก็ได้ แค่นี้เธอก็โคตรสวยแล้ว ♥


National Museum of Nature and Science
ที่นี่มีเจ็ดชั้น ตั้งแต่ใต้ดินเป็นกำเนิดจักรวาลตาม Big bang theory 
จนถึงกำเนิดสิ่งมีชีวิตแต่ละไฟลั่ม ไดโนเสาร์ พืช สัตว์ 
ไปจนเทคโนโลยีด้านต่างๆของญี่ปุ่น 
ส่วนชั้นดาดฟ้าเป็นแปลงสมุนไพร 

พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ สนุกกก 
มันดูน่าเล่นน่าจับ มีอะไร interactive ตลอด
เสียอย่างเดียว เป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบหมด มีมอนิเตอร์ให้จิ้มอ่านภาษาอังกฤษบ้าง 
แต่วิดีโอก็ยังเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด
ถึงอย่างนั้น คนไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยซักนิดก็ยังสนุก น่าพาเด็กๆไปเล่นมากๆ


เดินออกมาเจอแสงแบบนี้
โหย โคตรโรแมนติกกกกก
อยากจิหาหนุ่มญี่ปุ่นมาควงตรงนั้นเลยให้ตาย



เดินตามเสียงดนตรี เจอกีต้าร์สองตัวประสานกัน
เฮ้ยมันโคตรเข้าขากัน โคตรสนุก โคตรเท่
คนนั่งฟังกันเพียบ สัมผัสได้เลยว่ารอบๆนี่มันมีความสุขมาก

ที่สวน มีคนมาเปิดหมวกเล่นดนตรีหลายวง
ที่จริงคนแรกที่ประทับใจเป็นคุณลุงเล่นเครื่องเป่าอะไรซักอย่าง
ทำนองสนุกมาก เข้ากับบรรยากาศสวนสุดๆ

ถ้าถามว่าทริปนี้เดินที่ไหนแล้วรู้สึกความสุขรายล้อมตัวมากที่สุด อาจจะเป็นที่นี่ก็ได้นะ :)




กลับมาที่อาซากุสะ ความตั้งใจเดิมของการเลือกที่พักแถวนี้
นอกจากความสะดวกแล้วก็คือ อยากเก็บภาพวัดเซ็นโซตอนทไวไลท์

แต่ก็ไม่มีโอกาสซักที ฝนตกบ้าง กลับมาดึกเกินไปบ้าง
วันสุดท้ายก่อนจะกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ เลยเดินกลับมาอีกที
แวะชิมซาลาเปาทอด Kinryuzan ที่เค้าว่าเด็ด
ผมผิดเองแหละที่มาตอนตลาดวาย
กินตอนไม่ร้อนนี่มันไม่อร่อยเลอ T^T



แล้วก็ได้รูปนี้มาปิดทริป Japan 1st time สมใจ ♥

ตอนถ่ายรูปนี้สภาพน่าทุเรศมาก หลังพิงรั้วศาลเจ้า กลั้นหายใจพยามให้กล้องนิ่งที่สุด
ถามว่าขาตั้งกล้องแบกมาทำไม
อย่าถามเลย.. มันช้ำใจ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กลับมานั่งดูรูป มีคลิปวิดิโอสั้นๆกองนึง ที่ถ่ายเก็บบรรยากาศไว้
เลยเอามาตัดรวมกันไว้ดูแก้คิดถึง ^^


แล้วเจอกันนะ
ขอบคุณสำหรับความทรงจำดีๆ
ขอบคุณประสบการณ์มากมาย
ขอบคุณเพื่อนร่วมทาง
ขอบคุณจุดหมายปลายทาง
และขอบคุณต้นไม้ใบหญ้า เรื่องราวระหว่างทาง

ทริปนี้ประทับใจมากจริงๆ
เราเจอกันอีกครั้งแน่ๆ รอเราก่อนนะญี่ปุ่น 
♥ 
🎏

JAPAN 1st time the series
2:   trip to FUJISAN 
► alone in TOKYO