23 | Japan 1st time #2

อยู่ๆ ก็คิดถึงญี่ปุ่น 
จริงๆ ก็คิดถึงอยู่เรื่อยๆ
แต่ตอนนี้โหยหาการเดินทางมาก
รื้อเอาบันทึกที่เขียนไว้ตอนนั้นมาดูยิ่งคิดถึง 
บล็อกไว้ดูหน่อยคงดี :)

DAY4 oshino hakkai              


เรากำลังจะเดินทางไปหาฟูจิ
โดยไนท์บัส!
ซึ่งแปลว่า เราจะประหยัดค่าที่พักไปได้ตั้ง หนึ่งคืน
ต้องยอมรับว่าฉลาดมากจิมๆ และที่สำคัญ เราได้ตั๋วรถไนท์บัสในราคาถูกมาก!!
มีทั้งไวไฟ ปลั๊กสำหรับชาร์ทแบตส่วนตัว และที่นั่งสี่สีสุดประทับใจ
แต่เอาเข้าจริง แม่งเลวร้ายมาก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง



พิมพ์ๆไป รู้สึกว่าเอาบันทึกตอนนั้นมาแปะเลยดีกว่า สดดี อารมณ์มาเต็ม


เอาจริง มันคงมีไนท์บัสที่ดีกว่านี้แหละ 
แต่เราดันเลือกที่ถูกแล้วดันห่วยไง ถือว่าซวยไป
พอถึงโตเกียวเปลี่ยนอีกคันไป kawagujigo ค่อยสมเป็นบัสโดยสารหน่อย 
คือมันก็บัสธรรมดานี่แหละ แต่ในความรู้สึกนี่เหมือน up to business class ชัดๆ 555


เนี่ยคาดหวังไว้แค่เนี้ย ไนท์บัสก็ยังทำกับเราได้ ช้ำใจมาก
.
แต่เอาเข้าจริง ทริปทูฟูจินี่แหละ 
เป็นความสุขที่สุดของการมาญี่ปุ่นครั้งนี้แล้ว :)


จากทะเลสาบคาวากูจิ เราใจกล้าโบกรถเมล์ครั้งแรกในญี่ปุ่นไปต่อกันที่ทะเลสาบยามานากะ
เพื่อมาที่นี่ หมู่บ้านน้ำใสในตำนาน

Oshino hakkai 
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ระหว่างทะเลสาบ Kawaguchi กับทะเลสาบ Yamanaka ที่มีชื่อเสียงเพราะมีบ่อน้ำแปดบ่อ ที่แหล่งน้ำต้นกำเนิดมาจาก Fujisan ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ 

ก็น่าเชื่อจริงๆ เพราะมันใสมาก สวยมาก เย็นมาก เย็นจนเอาของกินมาวางแช่น้ำแทนตู้เย็นได้
น้ำจืดสนิทจริงๆ (ไปลองกินมาแล้ว กรอกใส่ขวดด้วยตามประสาทัวริสซึมที่ดี 555)


ถึงแม้จะดูเป็นพาณิชยหมู่บ้านอยู่บ้าง เพราะนักท่องเที่ยวมากันโคตรเยอะ 
แต่ที่นี่ก็ยังดูมีเสน่ห์ ยังมีของขายแบบบ้านๆ ผักดองของที่นี่อร่อยมาก 
(ไปลองชิมมาแล้วทุกผักเช่นกัน ตามประสาทัวริสซึมที่ดี)
โดยเฉพาะเห็ดหอมดอง โคตรอร่อยยยยย อร่อยลืมมารยาท 
อร่อยจนต้องซื้อกลับมาเมืองไทยไว้กินกะข้าวต้ม 555

พี่พูดมานั่น ไม่เกี่ยวกะรูป
รูปนั่นเป็นโมจิย่างร้อนๆ หอมๆ
กินตอนหนาวๆ ลมตีหน้าป้าบๆ นี่มัน
ฟินชะมัด~ 


เดินไปใต้ร่มซากุระแบบนี้ 
ไม่เรียกฟินแล้วให้เรียกอัลไลลล 


ถ้าโชคดี หมู่บ้านนี้จะมีฉากหลังเป็นฟูจิซังที่โคตรสวย 
วันที่เราไปตอนแรกฝนตกจ้ะ ถึงกะต้องยืมร่มที่โรงแรม
แต่พอมาถึงฝนก็หยุด แล้วฟ้าก็เริ่มเปิด

และ..
ฟูจิซังงง 
เราเจอเธอแล้ววว 


ไม่รู้จะถ่ายรูปยังไง 
ให้คนที่ยังไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง เห็นว่ามันใสแค่ไหน
เอาเป็นว่า แสงสะท้อนที่เห็นนั่นคือเหรียญ 
และมันอยู่ก้นบ่อ
ที่ลึกแปดเมตร

อ้อ ที่นี่คนไทยก็ทำได้ดีอีกเช่นกัน
เพราะมันมีป้ายภาษาไทย ที่เขียนว่า

ห้ามโยนเหรียญ...



ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนั่งวาดรูปสดๆ ในสถานที่ท่องเที่ยว
แต่สำหรับที่นี่ มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะหยุดแล้วนั่งลงละเลียดวิวที่อยู่ตรงหน้า
เพื่อให้โปสการ์ดได้เดินทางจากหมู่บ้านนี้จริงๆ
ให้ไปอีกก็ไป ฉันรักที่นี่
.
.
แต่
เรื่องราวดีๆ ยังไม่จบ
ที่นี่ยังมีอีกหนึ่งวิวในฝัน ที่ฉันคร่ำครวญตั้งแต่เมืองไทยว่า อะไรก็ได้ ขอไปเห็นวิวนี้ด้วยตาตัวเอง
ข้อความข้างล่างก๊อปมาจากเฟซบุ๊ค 555

ถ้าได้ผ่านตาสเตตัสของข้าพเจ้าในช่วงนี้
จะพบว่ามันคร่ำครวญถึงวิวในฝันอะไรของมันบ่อยมาก
และนี่
ก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว
ที่จะเปิดเผยว่า นี่แหละวิวในฝันของกระผมมม




แค่ได้เห็นวิวนี่ เหมือนเติมพลังชีวิตให้พุ่งทะยานเต็มหลอด
แถมมีสแปร์ไว้ใช้อีกสามเดือน
ความหงุดหงิดทุกสิ่งอย่างละลายหายไปหมดเลยจริงๆ
ปลื้มมาก ดีใจมากที่ได้มาเห็นมุมนี้ด้วยตาตัวเอง


ส่งท้ายสะพานโอมิยะด้วยรูปนี้
แล้วเราจะกลับมาเจอกันอีกแน่ๆ
คราวหน้าฟ้าจะใส ฟูจิซังจะเป๊ะ บอกเลย
รักวิวนี้มากๆ ขอบคุณที่เติมพลังให้เรา 


ถ้ามีเวลา เค้าบอกว่ามีทางเดินเลียบริมฝั่งให้เดินชมซากุระสองข้างทางได้นะ
แต่ไกลแค่ไหนไม่รู้ กลัวตกรถเลยไม่ได้เดิน
แต่คราวหน้าจะมาเดินแน่ๆ
สัญญา



DAY5 chureito pagoda              

ที่จริงเช้านี้ตามแพลนเดิมคือ 
ตื่นตีสี่ มาดูฟูจิซังกันเถอะ :))
พร้อมเตรียมขาตั้งกล้องมาวางไว้ข้างกระเป๋า 
ถูก ตูแบกขาตั้งกล้องมาจากเมืองไทยด้วย...

แต่เมื่อนาฬิกาปลุกตอนตีสี่ ตื่นมาพบว่ามืดตึ้บ
และจากสถานีไปทะเลสาบแม่งไกลเกินกว่าที่คิด
ข้าพเจ้าจึงนอนต่อ


และตื่นมาอีกที่เพื่อเจอฟูจิซังใส่หมวกรออยู่
น่าร้ากกกอ่าาาาา <3


หลังจากที่แผนเดิมพลิกไปทั้งหมด
ตารางรถไฟรถเมล์ลิเกตำรวจเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง
เพราะงั้น ตื่นตอนไหนก็ไปดูตารางรถไฟ แล้วเที่ยวเท่าที่เที่ยวได้แล้วกัน เออ แพลนหลวมแบบนี้ก็ดี

และก็พบ (หลังจากซื้อตั๋วรถไฟไปแล้ว) ว่า
ถ้าจะไป Chureito pagoda หรือเจดีย์แดงในตำนาน และกลับมาให้ทันรถบัสกลับโตเกียว
เราจะเหลือเวลาให้ขึ้นลงเขาประมาณ..

ชั่วโมงนิดๆ

ด้วยความมั่นใจในศักยภาพของตัวเองและเพื่อนร่วมทริป เราตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดสี่ร้อยขั้นไปด้วยกัน!!

เหยด มั่นใจเกินไปมั้ย ตอบบบ!!

.
.
.

และแล้วหลังจากฝ่าลมที่พัดกระหน่ำ
ฝ่าบันไดสี่ร้อยกว่าขั้น
เราก็ขึ้นมาถึงนี่จนได้


ขอเรียกมันว่า 
A very Japanese scene
เจดีย์แดง ฟูจิซัง และซากุระ
โคตรญี่ปุ่นนน

เสียอย่างเดียวฟ้าเน่ามาก
แต่ก็นับเป็นโชคดี เพราะหลังจากเราดื่มด่ำกับ very japanese scene จนเต็มอิ่ม 
วิ่งลงเขามาจนถึงสถานีนี่คือเมฆมาทะมึนมาก ถ้าเรามาช้ากว่านี้อีกสักครึ่งชั่วโมงนี่
จะได้บรรยากาศเจดีย์แดงกลางฝนพรำแน่นอน 



นั่งมองเฉยๆ ยังฟิน
คุ้มค่ากับการวิ่งขึ้นเขามาก



เป็นหนึ่งวันครึ่งที่ดีมาก เติมพลังมาก

ที่จริงชอบญี่ปุ่นทุกเมืองเลย
แต่ชอบที่นี่ที่สุด
ชีวิตมันดูสโลว์ไลฟ์ดี ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องเร่ง
ถ้ามีโอกาสมาอีกครั้ง อยากจะใช้เวลาที่นี่ให้มากกว่านี้อีกหน่อย คงจะมีมุมน่าสนใจอีกเยอะ



มาถึงโตเกียวแล้ว ฝนก็ยังไม่หยุดตก และยังตกต่อเนื่องไปจนค่ำมืดดึกดื่น

เจอก๊อตซิลล่ากำลังอาละวาด
คนบ้านนี่เมืองนี่ก็ยังช้อปกันได้ชิวๆ
เออดีเนอะ


JAPAN 1st time the series
► trip to FUJISAN
3:   alone in TOKYO